ระดับความดังเสียงที่สูงในหอผู้ป่วยทารกแรกเกิดรบกวนระยะหลับตื่นของทารกเกิดก่อนกำหนดส่งผลให้พัฒนาการของสมองและระบบประสาทสัมผัสของทารกผิดปกติ การวิจัยกึ่งทดลองกลุ่มเดียวแบบไขว้ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการสวมหมวกลดระดับเสียงต่อระยะหลับตื่นของทารกเกิดก่อนกำหนดที่มีอายุหลังปฏิสนธิ 34-36 สัปดาห์ และได้รับการรักษาในหอผู้ป่วยทารกแรกเกิด โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ จังหวัดเชียงราย ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ถึง เดือนกันยายน 2557 กลุ่มตัวอย่างมีกลุ่มเดียว ทำการทดลองแบบไขว้ โดยเหตุการณ์ทดลองทารกได้รับการสวมหมวกลดระดับเสียง ส่วนเหตุการณ์ควบคุมทารกไม่ได้รับการสวมหมวกลดระดับเสียง ทารกอยู่ในสิ่งแวดล้อมตามปกติของหอผู้ป่วยทารกแรกเกิด ผู้วิจัยทำการบันทึกวีดิทัศน์ระยะหลับตื่นของทารก โดยใช้แบบบันทึกระยะหลับตื่นของทารกเกิดก่อนกำหนดของ เพ็ญจิตร ธนเจริญพิพัฒน์ (2544) ซึ่งดัดแปลงมาจากแบบประเมินพฤติกรรมทารกแรกเกิด ของบราเซลตัน (Brazelton & Nugent, 1995) โดยผ่านการตรวจสอบเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่าน ได้ค่าความเที่ยงตรงตามเนื้อหาเท่ากับ 1 การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยตรวจสอบค่าความเชื่อมั่นของการสังเกตระหว่างผู้วิจัยและผู้ทรงคุณวุฒิ และค่าความเชื่อมั่นของการสังเกตของผู้วิจัยได้เท่ากับ 1 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติทดสอบที (paired t-test) ผลการศึกษาครั้งนี้พบว่า 1. ค่าเฉลี่ยระยะหลับรวมของทารกเกิดก่อนกำหนดในเหตุการณ์ทดลองมากกว่าในเหตุการณ์ควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=.029) 2. ค่าเฉลี่ยระยะหลับลึกของทารกเกิดก่อนกำหนดในเหตุการณ์ทดลองมากกว่าในเหตุการณ์ควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=.004) 3. ค่าเฉลี่ยระยะหลับตื้นของทารกเกิดก่อนกำหนดในเหตุการณ์ทดลองและในเหตุการณ์ควบคุมไม่มีความแตกต่างกัน (p=.395) 4. ค่าเฉลี่ยระยะตื่นของทารกเกิดก่อนกำหนดในเหตุการณ์ทดลองและในเหตุการณ์ควบคุมไม่มีความแตกต่างกัน (p=.475) ผลการวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่าการสวมหมวกลดระดับเสียงส่งเสริมระยะเวลาหลับลึกและหลับรวมของทารกเกิดก่อนกำหนดให้นานขึ้น ดังนั้นจึงควรสวมหมวกลดระดับเสียงให้แก่ทารกเกิดก่อนกำหนดที่อยู่ในหอผู้ป่วยทารกแรกเกิดเพื่อส่งเสริมคุณภาพการหลับที่ดี